ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 คนไทยในต่างประเทศที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และประสงค์ที่จะบริจาคเบี้ยยังชีพของตนเองเข้าสู่กองทุนผู้สูงอายุ เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อดำเนินการได้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- คุณสมบัติ ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไปและได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
(การลงทะเบียนเป็นผู้รับเบี้ยยังชีพต้องทำในประเทศไทย)
- เอกสารประกอบ บัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง
(หากบุคคลอื่นดำเนินการแทน ต้องมี 1. หนังสือมอบอำนาจ 2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาหนังสือเดินทางของผู้มอบอำนาจ 3. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาหนังสือเดินทางของผู้ดำเนินการแทน)
- สิทธิประโยชน์ที่ผู้บริจาคจะได้รับ
- เหรียญเชิดชูเกียรติ
- สิทธิในการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1 เท่าของเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
ทั้งนี้ กองทุนผู้สูงอายุจะจัดส่งใบเสร็จรับเงินและเหรียญเชิดชูเกียรติให้แก่ผู้บริจาคตามที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
- ขั้นตอน
- ยื่นแบบคำขอบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่แผนกนิติกรณ์ของสถานเอกอัครราชทูตฯ (วันเปิดทำการ เวลา 14.00-17.00 น.) พร้อมเอกสารประกอบ
- หากแบบคำขอและเอกสารประกอบครบถ้วน สถานเอกอัครราชทูตฯ จะจัดส่งไปให้หน่วยงานที่ประเทศไทยดำเนินการต่อ โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ท่านได้รับจึงจะถูกตัดเพื่อส่งเข้ากองทุนผู้สูงอายุ และในเดือนถัดไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดส่งใบเสร็จให้ท่านตามที่อยู่ในประเทศไทย
- หมายเหตุ:
- การบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะต้องทำเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน หลังจากนั้น จึงสามารถแจ้งขอยกเลิกการบริจาคได้
- ผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ต้องการบริจาคเงินเป็นครั้งคราว ประชาชนที่ไม่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแต่สนใจจะบริจาคเงิน สามารถบริจาคได้ที่สำนักงานกองทุนผู้สูงอายุหรือโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร (รายละเอียดตามไฟล์ “คู่มือโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพ” ด้านล่าง) โดยจะได้รับสิทธิหักลดหย่อนภาษี 1 เท่าของเงินบริจาค แต่ไม่ได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติ